รีวิวหนัง The Black Phone (2022) สายหลอน ซ่อนวิญญาณ

The Black Phone (2022)

ตอนนี้มาถึงคิวของหนังเขย่าขวัญเรื่องล่าสุด จากฮอลลิวูดที่ได้ยินว่าได้รับเสียงวิจารณ์ที่ค่อนข้างงดงามน่าพอใจพอดูทีเดียว นี่คือ “The Black Phone สายหลอน ซ่อนวิญญาณ” ที่มาพร้อมกับความก้ำกึ่งระหว่างหนังผีกับหนังเขย่าขวัญ กับการเซ็ตฉากออกมาดูวินเทจที่น่าสนใจไม่เบา กับปริศนาเสียงปลายสายจากโทรศัพท์สีดำเครื่องเก่าๆ มันจะชวนหลอนสะพรึงกันสักแค่ไหน

เกี่ยวกับหนัง The Black Phone (2022) สายหลอน ซ่อนวิญญาณ

ประเภท : เขย่าขวัญ / สยองขวัญ
ผู้กำกับ : สก็อต เดอร์ริกสัน
นำแสดงโดย : เมสัน เธมส์, อีธาน ฮอวก์, เมเดอลีน แม็กกรอว์
ความยาว : 103 นาที
กำหนดฉายในไทย : 13 กรกฎาคม 2022 (ในโรงภาพยนตร์)

The Black Phone (2022) สายหลอน ซ่อนวิญญาณ ว่าด้วยเรื่องราวของ ฟินนีย์ ชอว์ เด็กชายขี้อายแต่ชาญฉลาด วัย 13 ขวบ ที่ถูกไอ้มืดฉุดลักพาตัวไปขังอยู่ในห้องใต้ดินเก็บเสียง ที่ซึ่งการกรีดร้องไม่ก่อเกิดประโยชน์ ในตอนที่โทรศัพท์ไร้สัญญาณที่ติดอยู่ตรงผนังเริ่มส่งเสียงดังขึ้นมา ฟินนีย์ก็ค้นพบว่าเขาสามารถได้ยินเสียงของเหยื่อคนก่อน ๆ ของมัน และเหยื่อเหล่านั้นก็ตั้งปณิธานเอาไว้ว่าจะทำให้แน่ใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกเขาจะต้องไม่เกิดขึ้นกับฟินนีย์

และนี่คืองานกำกับและเขียนบทของ “สก็อต เดอร์ริกสัน” ชิ้นงานที่เขาตัดสินใจเลือกที่จะสร้างแทนที่จะไปกำกับภาคต่อของหมอแปลกให้มาร์เวล โดยหนังเรื่องนี้หยิบเอาโครงเรื่องมาจากเรื่องสั้นของ “โจ ฮิลล์” มาขยายความเป็นหนังเขย่าขวัญสุดระทึก ภายใต้ฉากหลังที่เป็นสังคในช่วงยุคปี 1970s ที่มาพร้อมกับบรรยากาศที่ชวนง่วงและชวนหลอนสะพรึงไปพร้อม ๆ กัน แม้ว่าองค์ประกอบหลานอย่างในหนังเรื่องนี้จะซ้ำซากเหลือเกิน แต่กลับมีกิมมิกที่ทำให้ดูจบแล้วสนุกได้

การเล่าเรื่องของ The Black Phone อาจจะมีทั้งจุดที่ดีและจุดที่ไม่ดีปะปนกันไปตลอดทาง เพราะในแกนของความเป็นหนังเขย่าขวัญ หนังก็สามารถสร้างบรรยากาศและแรงกดดันผ่านตัวละครมายังคนดูได้เป็นอย่างดี แต่ก็กลับยังลืมเล่าอีกหลาย ๆ ส่วนที่น่าจะเติมเต็มได้มากกว่านี้อีกหน่อย ส่วนในแกนสังคมและครอบครัวที่เหมือนจะปูทางมาค่อนข้างพอใช้ได้ทีเดียว แต่ก็กลายเป็นว่าหนังยังพาคนดูไปถึงประเด็นต่าง ๆ ได้ไม่สุดเลยสักทางอยู่ดี เหมือนถูกทิ้งเอาไว้กลางทางหลายครั้ง

แต่กระนั้นแล้ว โทนและจังหวะของ The Black Phone ก็ไม่ได้เสียรูปแบบ เพราะหนังยังค่อนข้างเล่าเรื่องได้สนุก บนพื้นฐานของสูตรสำเร็จแบบที่เคยเห็นมาก่อน ช่วงแรก ๆ ที่เป็นการปูเรื่องอาจจะค่อนข้างยืดไปสักนิดกับความจำเจที่ชวนหลับเลยทีเดียว แต่พอหนังจับทางได้และเข้าสู่ประเด็นที่เป็นแก่นแท้ของเรื่องได้แล้ว ก็ถือว่าไหลลื่นและไปได้คล่องตลอดทาง ไปจนถึงไคลแม็กซ์ตอนจบของหนังที่ผู้ชมจะต้องตบเข่าฉาดให้กับสะใจ

ถึงแม้ว่า The Black Phone จะใส่รายละเอียดและอธิบายเดียวกับคาแรกเตอร์ตัวละครต่าง ๆ มาได้แค่เพียงลักษณะผิวเผิน ไม่ว่าจะเป็นตัวละครนำ อย่าง ฟินนีย์ หรือ ไอ้มือฉุด ที่เป็นวายร้ายของหนังเรื่องนี้ ทุกตัวละครไม่ได้รับการเอาใจใส่ในการทำให้ผู้ชมรู้สึกกระจ่างมากนัก คนดูแทบจะไม่รู้จักและคุ้นเคยกับพวกเขาเหล่านี้เลยสักคนเดียว แต่ถ้ามองไปอีกมุมหนึ่ง เหมือนผู้สร้างก็ไม่ได้ต้องการให้เราได้แทรกซึมรู้ซึ้งไปถึงขนาดนั้น หากมองในมุมมองของเหยื่อและผู้ก่อเหตุที่ไม่ต้องการเปิดเผยอะไรเท่าไหร่

และนี่คืองานแสดงหนังใหญ่เรื่องแรกของ “เมสัน เทมส์” ดาราเด็กหน้าใหม่ที่บอกเลยว่าน่าจับตาไม่เบา นอกจากฟิคเกอร์ต่าง ๆ ในรูปลักษณะของเขาจะค่อนข้างหล่อคมพัฒนาได้แล้ว การแสดงของหนุ่มน้อยคนนี้ก็ถือว่ามาแบบมาดนิ่ง แต่จริงจังไปด้วยอารมณ์ผ่านท่าทางได้เป็นอย่างดี เห็นแล้วยังสามารถนำไปขัดเกลาและพัฒนามีอนาคนได้อีกไกล

แต่อีกคนที่น่าปรบมือให้ไม่แพ้กันคือ “เมเดอลีน แม็กกรอว์” ที่สาวน้อยคนนี้อาจจะมีประสบการณ์ทางการแสดงมามากกว่า และกลายเป็นอีกคาแรกเตอร์ที๋โดดเด่น แบบที่คนดูละสายตาไปจากเธอไม่ได้เลย ให้การแสดงออกมาได้เข้มข้นและจัดจ้านอย่างไม่น่าเชื่อว่านี่คือพลังการแสดงของดาราเด็ก ยกให้เป็นหนูน้อยที่ครองตำแหน่ง MVP ของหนังเรื่องนี้ไปเลย

ในขณะที่ “อีธาน ฮอว์ก” ก็โรคจิตได้อย่างมืออาชีพ ได้มืออาชีพมาจับบทนี้ก็ไม่ต้องเยอะแยะอะไรมาก อาศัยแค่ทักษะน้อยแต่มาก แต่ออกมาทีก็คือน่ากลัวและทรงพลังไม่เบา แม้ว่าบทบาทนี้ของเขาจะเต็มไปด้วยมิติที่น่าค้นหาไม่น้อย แต่แทบจะไม่มีช่องแสงมากสักเท่าไหร่ แต่ทุกครั้งที่โผล่ออกมา ก็น่าหวาดกลัวจับใจจริง ๆ

เอาเป็นว่าในภาพรวมนั้น The Black Phone ก็จัดได้ว่าหนังเขย่าขวัญ ที่มีบรรยากาศของยุค 70s ที่ถ่ายทอดออกมาได้สนุกและได้อรรถรสค่อนข้างครบดี แม้ว่าองค์ประกอบหลาย ๆ อย่างของหนังเรื่องนั้นจะไม่มีอะไรแปลกใหม่เลย แต่การเล่าเรื่องที่ก้ำกึ่งระหว่างชอบกับไม่ชอบ กับพาให้เราเพลิดเพลินไปได้อย่างไม่รู้ตัว ไม่เชิงกับเป็นหนังผี แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่หลอนเลย โทนอาจจะทำให้เรานึกถึงพวกหนังจากงานเขียนของ “สตีเฟ่น คิง” อะไรทำนองนั้น ถึงมันจะรู้สึกซ้ำ ๆ แต่เอาเข้าจริงก็สนุกดีนะ