เมื่อถึงวันที่เข้าโรงแล้วก็ต้องรออีกวันหนึ่ง เรียกได้ว่า แทบจะอดใจรอไม่ไหว หลังจากซื้อตั๋วไว้ล่วงหน้าถึงสองวัน ในที่สุด วันนี้ ก็ออกจากบ้านไปยังสยามพารากอน รับตั๋วแล้วเข้าไปดูหนังฟอร์มยักษ์ที่รอคอย ณ โรง Krungsri IMAX เสียที จะเรื่องอะไรซะอีก ก็ ‘Avatar’ ชื่อไทยก็ ‘อวตาร’ นั่นไง
คนอย่าง James Cameron กลับมาทำหนังใหญ่ทั้งที ต้องฟอร์มยักษ์เท่านั้น และทุกครั้งที่กลับมาก็มักสร้างปรากฏการณ์เสมอ ครั้งนี้ก็เช่นกัน ห่างหายจากวงการภาพยนตร์ไปทำจอแก้วอยู่พักใหญ่ เพื่อรอเวลาให้ทุกอย่างพร้อมสำหรับโปรเจ็กต์ใหม่ จึงกลับมาและใช้เวลาถึง 4 ปี ปลุกปั้นจนได้ที่ และก็ไม่ผิดหวัง เมื่อได้รับความสนใจเป็นอย่างมากทีเดียว

เดินเท้าก้าวเข้าไปในโรงไอแม็กซ์ เมื่อ 20.30 น. ของคืนที่ผ่านมา คนเต็มโรงอย่างไม่ต้องสงสัย นี่คือ ภาพยนตร์ 3 มิติเรื่องแรกในชีวิตที่ผมได้ดูในโรงใหญ่แห่งนี้ ด้วยราคาตั๋วระดับที่เรียกได้ว่าแพง ผมจึงเก็บมันไว้กับหนังที่สุดยอดเท่านั้น
เกี่ยวกับหนัง Avatar The Way of Water (2022) อวตาร 2 วิถีแห่งสายน้ำ
อวตาร เป็นโปรเจกต์ที่ผุดขึ้นมาในหัว James Cameron ตั้งแต่ก่อนจะสร้างภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดตลอดกาลอย่าง ‘Titanic’ เสียอีก แต่ด้วยเทคโนโลยีการสร้างเทคนิคพิเศษของหนัง และโรงฉายในสมัยนั้นยังไม่รองรับเพียงพอ แกจึงรอและสร้างเทคโนโลยีการถ่ายหนังรูปแบบใหม่ขึ้นมาเอง ซึ่งมันคงจะปฏิวัติวงการภาพยนตร์ไปตลอดกาล

บนจอใหญ่ยักษ์ ไม่มีโฆษณาหรือตัวอย่างหนังใดๆ ให้ชมในขณะที่ผมเดินเข้าไป มันอาจมีแต่คงไม่กี่ตัวเท่านั้น ผมเดินเข้าไปถูกเวลาจริงๆ เมื่อเพลงสรรเสริญพระบารมีสิ้นสุดเสียงลง ผมนั่งลงแล้วใส่แว่น 3 มิติ และพบกับ Avatar ภาพยนตร์ที่ผมรอคอยในทันที แต่อนิจจา
คงต้องบอกว่า ไม่ผิดหวังเลย ที่การรอคอยที่เนิ่นนานหลายเดือน ได้รับผลตอบแทนอย่างคุ้มค่า เทคนิคด้านภาพที่สุดยอดมากกว่าเรื่องใดๆ ที่เคยพบมา มันดูสมจริงว่าภาพยนตร์ที่สร้างขึ้นจากการใช้คนแสดง (แต่ไม่เห็นคนในหนัง) อย่าง ‘Polar Express’ หรือ ‘Beowolf’ ภาพของฉากก็ดูสมจริงไม่แพ้กัน แถมป่าของแพนดอร่าสวยสด ดูไปก็ยิ้มไป ประสบการณ์นี้คงหามิได้จากหนังเรื่องไหน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “มันเป็น 3 มิติ”

เจค ซัลลี่ (Sam Worthington) นาวิกโยธินผู้พิการขา ได้รับมอบหมายภารกิจในโปรเจ็กต์ “อวตาร” แทนพี่ชายฝาแฝดที่เสียชีวิตไป บนดาวเคราะห์ดวงที่อยู่ในจินตนาการบรรเจิดของคาเมรอน แพนดอร่า ภารกิจของเขาคือ การแฝงตัวเข้าไปอยู่หมู่มนุษย์ผู้มีเนื้อตัวสีฟ้าชนเผ่า “นาวี” เพื่อเรียนรู้ทุกอย่างและผลักดันให้เขาออกไปจากพื้นที่ เพื่ออะไรน่ะเหรอ? เพื่อแร่ชนิดหนึ่งและผลประโยชน์มหาศาล ที่มนุษย์ผู้มีเนื้อตัวสีน้ำตาลอย่างพวกเราจะได้รับยังไงล่ะ

เจค ต้องเข้าไปในป่าบนดาวแพนดอร่า ด้วยการเชื่อมต่อกับร่าง Avatar ของชาวนาวี เข้าไปอาศัยอยู่ในป่าเขียวขจีในเวลากลางวัน แต่งดงามสุดๆ ในเวลากลางคืน ป่าที่นอกจากความงดงาม ยังมีอันตรายแฝงอยู่ด้วย คาเมรอนให้เวลาเราทำความรู้จักกับป่าอย่างเนิ่นนาน พอๆ กับทำให้เราได้เห็นพัฒนาการของความสัมพันธ์ของเจคกับเนย์ทิรี่ (Zoe Saldana) ลูกสาวหัวหน้าเผ่า นอกจากนี้ ความยาวของหนังที่ยาวถึง 165 นาที ยังทำให้เล่าเรื่องในจุดที่จะทำให้คนดูได้เต็มอิ่มกับทุกฉากที่เขาขนมาให้ได้อย่างเต็มที่ ทั้งฉากต่อสู้เอาตัวรอดของเจค ฉากเรียนรู้ความเป็นชาวนาวี แต่ฉากอย่างว่า กลับน้อยไปนิด

บทหนังถือว่าทำได้ดี ทำให้เราได้เห็นแง่มุมที่เป็นจริงของมนุษย์ (ซึ่งก็คงรู้กันว่า เป็นชนชาติใด) ผู้บุกรุกยึดครองดินแดนของชนชาติอื่น อ้างโน่นอ้างนี่ ทั้งที่แท้จริงก็เพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง ขณะที่ชาวแพนดอร่ามีชีวิตอยู่กับธรรมชาติ อยู่กับโลกที่แตกต่างออกไป และพร้อมจะต่อสู้เพื่อบ้านและเพื่อนพ้องของตัวเอง